วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2557

About me

สวัสดีค่าาาาาาาาาาาาาาาา 
หลายคนคงสงสัยว่าเจ้าของบล๊อคคือใครนะ
แนะนำตัวกันเลยนะคะ!!!!




ชื่อ นางสาวณัฐวดี    สิริพงษ์เจริญ

ชื่อเล่น  ฟิล์ม

อายุ 17 ย่าง 18 ปี

เกิดวันพุธที่    18    ธันวาคม    2539

ศึกษาอยู่ที่     วิทยาลัยเทโนโลยีพณิชยการสุโขทัย   ระดับชั้นปวช.3/2 
                       สาขาธุรกิจสถานพยาบาล   

สัตว์เลี้ยงที่ชอบ   เจ้าเหมียว

กิจกรมมที่ชอบ     ว่ายน้ำ  อ่านหนังสือ วาดรูป  ถ่ายรูป

วิชาที่ชอบ  Eng

สีที่ชอบ  เอิร์ธโทน

อาหารที่ชอบ  คาโบนาร่า

HARD TIMES WILL ALWAYS REVEAL TRUE FRIEND
(เวลาที่ยากลำบากจะแสดงให้คุณเห็นว่าใครคือเพื่อนแท้เสมอ)



วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2557

แครอทเป็นผักหรือผลไม้กันแน่




แครอท










 แครอท ภาษาอังกฤษ Carrot แครอท ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ ดอคุ๊ส คาโรต้า (Daucus carota. Linn) เป็นพืชในแถบเอเชียตะวันออกและเอเชียกลาง
เป็นที่นิยมปลูกและรับประทานทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีหลายขนาด
ตั้งแต่ขนาดเล็กเท่าดินสอไปจนถึงขนาดใหญ่ และมีหลากหลายสี เช่น สีเหลือง
 สีม่วง แต่ที่นิยมรับประทานนั้นจะเป็นแครอทสีส้มและยังจัดเป็นอาหารเพื่อ
สุขภาพอีกด้วย
แครอทเป็นผักหรือผลไม้? ตอบ แครอทเป็นผัก
 เพราะแครอทคือส่วนของราก ซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของพืชนั่นเอง
แครอทจึงไม่ใช่ผลไม้

ประโยชน์ของแครอท (Carrot)


แครอท ถือเป็นพืชที่มีสารเบต้าแคโรทีนมากที่สุดในบรรดาผักสีส้มทั้งหลาย
 แม้ต้นกำเนิดจะเป็นผักมาจากต่างประเทศ แต่ก็เป็นพืชที่สามารถ
ปลูกได้ในเมืองไทย และยังนิยมนำมาประกอบอาหารได้หลายอย่างอีกด้วย
คุณประโยชน์ของแครอทนั้นก็คือ 
จะมีสารเบต้าแคโรทีนที่ช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระ
 ยับยั้งเซลล์ของมะเร็ง ต่อต้านการเกิดเซลล์มะเร็งได้เป็นอย่างดี 
โดยจะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งในปอดได้ 
ซึ่งคนที่กินผักที่มีเบต้าแคโรทีนน้อยที่สุด 
จะเสี่ยงต่อมะเร็งในปอดมากเป็นเจ็ดเท่าของคนที่กินมากที่สุด 
นอกจากนั้นแล้วก็ยังช่วยให้ตับขับสารพิษออกจากร่างกายได้ดี 
และยังมีแคลเซียมเพคเตทที่ช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอล 
ลดการเกิดโรคหัวใจและภาวะหัวใจล้มเหลว 
นอกจากนั้นในแครอทยังมีวิตามินเอสูง ช่วยบำรุงและลดการเสื่อมของตา 
มีสารต่างๆ ที่เป็นทั้งเกลือแร่และวิตามินอีกมากมาย เช่นธาตุแคลเซียม
 มีฟอสฟอรัส เหล็ก มีวิตามินเอ บี1 บี2 และวิตามินซี 
อีกทั้งยังช่วยบำรุงเซลล์ผิวหนังและเส้นผมให้มีสุขภาพดีอีกด้วย
 ในการนำแครอทไปประกอบอาหารนั้นควรจะทำให้สุกก่อน
เพราะความร้อนจะช่วยทำลายผนังเซลล์ของแครอท
ทำให้ร่างกายนำเบต้าแคโรทีนไปใช้ได้ดี
และสำหรับคนที่อยากบำรุงผิวหน้าด้วยแครอทก็สามารถนำแครอทไปนึ่งให้สุกแล้วบด ละเอียด เอามาพอกหน้าไว้ 5-10 นาที ก็จะช่วยบำรุงผิวได้ด้วย
แครอท : ลดมะเร็งปอด
  แครอท เกิดในแถบเอเชียตะวันออก และเอเชียกลาง
 ออกดอกราวเดือนพฤษภาคม ถึงตุลาคม ดอกแตกเป็นชั้นคล้ายร่ม
ชั้นนอกสีชมพู ตรงกลางสีม่วงแดง แครอทสมัยโบราณมีเนื้อแข็ง
 เสี้ยนเยอะเหมือนไม้ สีของหัวแครอทมีตั้งแต่สีเหลืองไปจนถึงสีม่วง
แต่แครอทสีส้มที่รับประทานกันทั่วไป
เป็นแครอทที่ได้รับการพัฒนาสายพันธุ์เมื่อศตวรรษที่ 18 นี้เอง
ในทางยาพบว่าเป็นสมุนไพรพื้นบ้านของชาวอเมริกัน
ใช้เป็นยาครอบจักรวาล รักษาได้หลายโรค เช่น แก้โรคประสาท
โรคผิวหนัง และหืดหอบ
 ในปี พ.ศ. 2510 สถาบันมะเร็งแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา
ได้พบว่าวิตามินเอที่ได้จากสัตว์ สามารถระงับมะเร็งในทางเดินหายใจ
 ในหนูทดลองได้ แต่ยังไม่มีใครสนใจว่าวิตามินเอที่ได้จากพืช
หรือสัตว์จะให้ผลดีกว่ากัน ซึ่งข้อมูลขณะนั้นได้บ่งชี้อย่างชัดเจนว่า
คนได้รับวิตามินเอจากผักสีเขียว และพืชสีส้มเป็นหลัก 
วิตามินเอที่ได้รับจากพืชคือ สารเบต้า แคโรทีน ซึ่งจะถูกเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ เมื่อเข้าไปอยู่ในร่างกายมนุษย์

ปี พ.ศ. 2524 ริชาร์ด ปีโต และคณะ ได้เขียนบทความลงในนิตยสาร Nature ว่า
 “จริงๆ แล้ว วิตามินเอไม่ได้ส่งผลให้เกิดการยับยั้งมะเร็ง แต่เป็นสารเบต้า แคโรทีน”
จากการทดลองของ ดร. ริชาร์ด เชเคลล์ นักระบาดวิทยา มหาวิทยาลัยเท็กซัส
 ก็สนับสนุนความน่าเชื่อถือของข้อมูลนี้ มีการทดลองอีกมากมายเกิดขึ้น
แต่ข้อสรุปรวมจากการศึกษาทั้งหมดก็คือ “อาหารที่มีเบต้า แคโรทีน
สามารถลดอุบัติการโรคมะเร็งในปอดได้ แม้แต่ในผู้ที่สูบบุหรี่หลายปีแล้วก็ตาม”
นอกจากนี้ยังพบว่า คนที่ทานพืชผักที่มีแคโรทีนน้อยที่สุด จะเสี่ยงต่อมะเร็งในปอด
เป็นเจ็ดเท่าของคนที่ทานมากที่สุดในกลุ่ม เบต้า แคโรทีนสามารถป้องกัน
และยับยั้งมะเร็งในระยะต่างๆ ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากให้กินเบต้า
แคโรทีนขนาดสูง พร้อมกับฉายรังสี
ท่านที่เคยเขี่ยแครอทชิ้นน้อยทิ้งจากจานสเต็ค คงทราบแล้วว่า
แครอทมีคุณประโยชน์มหาศาล นี่ยังไม่รวมถึงประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ
 ที่จะช่วยให้ท่านดูสดชื่น บำรุงผิวพรรณ และช่วยในการขับถ่าย
พืชผักทุกชนิดมีคุณสมบัติดีต่อร่างกายเหมือนกันหมด หากท่านอยากมีสุขภาพดี
ก็ไม่ควรเขี่ยผักเหล่านี้ทิ้งแม้สักชิ้นเดียว
Carrot Skin Care (Lisa)
 แครอทขึ้นชื่อว่าเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย 
และในทางความสวยความงาม
 แครอทก็มีคุณงามความดีไม่น้อยหน้าไปกว่ากัน แครอทมีวิตามินเอ
 และวิตามินซีสูง 
ซึ่งเป็นแอนตี้ออกซิแดนต์ชั้นดี จึงช่วยปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระ 
และส่งเสริมการสร้างเซลล์ผิวใหม่ที่แข็งแรงกว่าเดิม
 หนึ่งในวิธีใช้แครอทเพื่อความงามอย่างง่าย ๆ ก็คือ มาสก์แครอท 
ซึ่งมีวิธีทำแสนง่าย และไม่ต้องการส่วนผสมที่ยุ่งยาก เพียงแค่ต้มแครอทให้สุก 
และบดจนละเอียด ผสมน้ำผึ้งลงไปหนึ่งช้อนโต๊ะ น้ำผึ้งเป็นส่วนผสมที่
ช่วยเยียวยาผิว ช่วยฆ่าเชื้อโรค และลดอาการอักเสบ คุณอาจเติม
น้ำมันมะกอกลงไปหนึ่งช้อนโต๊ะก็ได้ น้ำมันมะกอกจะช่วยบำรุงผิว 
ทำให้นุ่มนวล ยืดหยุ่น และเปล่งปลั่ง
 ส่วนผู้ที่มีผิวมันสามารถเพิ่มน้ำมะนาวลงไปเล็กน้อย 
น้ำมะนาวเป็นแอสตริงเจ้นท์ตามธรรมชาติที่ช่วยลดความมันของผิว 
ปริมาณของน้ำมะนาวขึ้นอยู่กับความมันของผิว ถ้าผิวคุณแห้งง่าย
 เติมน้ำมะนาวแค่ 8-10 หยด แต่ถ้าผิวมันมาก เติมน้ำมะนาวไ
ด้ราวหนึ่งช้อนโต๊ะ และเพื่อให้ส่วนผสมนุ่มเนียนขึ้น คุณอาจเติม
น้ำแร่ลงไปเล็กน้อย แต่อย่าให้มากเกินไป
 หรือถ้าส่วนผสมเหลวพอแล้วก็ไม่ต้องเติมน้ำอีกก็ได้ จากนั้น 
ทามาสก์ลงบนผิวสะอาด ๆ ให้ทั่วทั้งใบหน้าและลำคอ 
ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออก แครอทมาส์กเหมาะสำหรับผิวมัน และเพื่อป้องกันริ้วรอย
คุณรู้รึไมว่า แครอท ต้มก่อนหั่น หรือหั่นก่อนต้ม แบบไหนดีกว่ากัน?
 อ.ดร.เคิร์สเทน แบรนดท์ (Kirsten Brandt) และคณะจาก
มหาวิทยาลัยนิวแคสเซิล สหราชอาณาจักร (UK) ร่วมกับทีม
วิจัยจากมหาวิทยาลัยเดนมาร์คค้นพบคุณค่าของสารฟาลคารินอล (
falcarinol) ในแครอทว่า ทำให้หนูทดลองเป็นมะเร็งน้อยลง 1/3
การศึกษาใหม่ทำการเปรียบเทียบว่า การนำแครอทไป “หั่นก่อนต้ม” กับ
 “ต้มก่อนหั่น”… แบบไหนจะดีกว่ากัน
ผลการศึกษาพบว่า ‘boiled before cut’ = “ต้มก่อนหั่น” 
ช่วยให้แครอทมีระดับสารต้านมะเร็ง “ฟาลคารินอล (falcarinol)”
สูงกว่า ‘chopped up first’ = หั่นตั้งแต่แรก 25%
กลไกที่เป็นไปได้ คือ การหั่นแครอทเพิ่มพื้นที่ผิว (surface area)
ของแครอท ทำให้สารต้านมะเร็งส่วนหนึ่งซึมออกไปในน้ำที่ใช้ต้ม
 เนื่องจากผนังเซลล์อ่อนตัวลงในระหว่างการต้ม
(น้ำผลไม้ แครอทและผักกะหล่ำปลี,ส้มโอ ผักชีฝรั่ง และแครอทปั่น)
(Carrot and cabbage juice,Grapefruit,celery and carrot smoothie)

กินผลไม้ 5สี ดีกับสุขภาพนะ



กินผลไม้ 5 สี ดีกับสุขภาพ
กินผลไม้ 5 สีดีกับสุขภาพ

วันนี้คุณกินผักผลไม้ครบ 5 สีแล้วรึยัง?

ผักผลไม้มีสีต่างๆ มีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ผักผลไม้แต่ละสีช่วยป้อง
กันมะเร็งในประเภทที่
แตกต่างกันไป ด้วยการกำจัดสารอนุมูลอิสระและเพิ่มเอนไซม์ที่กำจัดสาร
ก่อมะเร็งออกจากร่างกาย 
ผู้บริโภคจึงควรบริโภคผักผลไม้ให้ครบทั้ง 5 สีในทุกๆ วัน อันได้แก่ สีเขียว 
สีม่วง สีแดง 
สีขาวและสีเหลือง เพราะบางสียังดีกับมะเร็งบางอวัยวะโดยช่วยลดการเจริญเติบโตของ
เซลล์มะเร็งให้ช้าลง เรามาลองดูผักผลไม้แต่ละสีดูกันนะคะ ว่ามีประโยชน์กับเราอย่างไรบ้าง



ผักผลไม้สีเขียว

พวกนี้เราพบเห็นได้โดยทั่วไปก็เช่น ผักบุ้ง ผักโขม ผักปวยเล้ง 
ผักกาดหอม ผักคะน้า 
แตงกวา กะหล่ำปลี ใบชะพลู ใบทองหลาง ฯลฯ ประโยชน์ ให้สารคลอโรฟิลล์ 
ช่วยต้านอนุมูลอิสระ 
ป้องกันเซลล์ถูกทำลาย ขจัดฮอร์โมน อันเป็นสาเหตุของมะเร็งเต้านม


ผักผลไม้สีเหลือง-ส้ม

บ้านเรามีผลไม้ที่มีสีเหลืองเยอะมาก เช่น ส้มชนิดต่างๆ มะละกอ แครอท 
ฟักทอง มันเทศ 
สับปะรด ผลไม้เหล่านี้มีประโยชน์คือ ให้สารเบต้าแคโรทีน ฟลาโวนอยส์ 
ช่วยรักษาสุขภาพของหัวใจ 
หลอดเลือด ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย บำรุงสายตา

ผักผลไม้สีน้ำเงิน-ม่วง

จริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าผักผลไม้จะมีสีสวยๆ แบบนี้นะคะ ผักพวกนี้ก็เช่นกะหล่ำสีม่วง 
มะเขือม่วง ลูกหว้า 
ชมพู่มะเหมี่ยว ดอกอัญชัน หอมแดง ฯลฯ ประโยชน์ ให้สารแอนโทไซยานิน 
ช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์ ลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและ
เส้นเลือดอุดตันในสมอง 
ยับยั้งเชื้ออีโคไลในช่องทางเดินอาหาร (ซึ่งทำให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษได้)

ผักผลไม้สีขาว-น้ำตาล

พวกนี้มีเยอะมากเช่น กระเทียม หัวไชเท้า ถั่วเหลือง ลูกเดือย ขิ
ง ข่า งาขาว 
ประโยชน์ของผักผลไม้สีนี้คือ ให้สารแอนริซิน สร้างเซลล์ให้แข็งแรง 
ยับยั้งการเกิดเนื้องอก 
ช่วยลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ ม
ะเร็งต่อมลูกหมาก ต้านการอักเสบ 
ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดปริมาณไขมันในเลือด ลดความดันโลหิต 
ป้องกันเส้นเลือดอุดตัน 
รักษาระบบภูมิคุ้มกัน เรียกได้ว่าสารพัดสรรพคุณกันเลยทีเดียว

ผักผลไม้สีแดง

อันนี้เรียกว่าพระเอกขี่ม้าขาวของเราเลยก็ได้ค่ะ ผักผลไม้ที่มีสีแดง 
ไม่ว่าจะเป็นพวกผัก 
เช่น มะเขือเทศ แครอท หอมแดง พริกหวาน พริกชี้ฟ้า แตงโม ทับทิม 
ส้มโอ มะละกอสุก 
ฝรั่งสีแดง แก้วมังกร หรือผลไม้ต่างชาติอย่างแอปเปิ้ล สตรอเบอร์รี่ 
บีทรูท ราสเบอร์รี่ 
ผักผลไม้สีแดงเหล่านี้มีสารที่มีชื่อว่า “ไลโคพีน” อยู่ในปริมาณสูง 
มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
 โดยมีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระที่สูงมาก มีความสามารถใน
การต่อต้านอนุมูลอิสระมากกว่าวิตามินอี
 100 เท่า และมากกว่ากลูตาไธโอนถึง 125 เท่า

สารไลโคพีนช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก (ซึ่งสาวๆ แท้ๆ 
คงไม่ต้องกังวลนะคะ 
ส่วนไม่แท้นั้นเป็นไปได้ค่ะ) มะเร็งกระเพาะอาหารและมะเร็งปอด 
และยังช่วยยับยั้งการเติบโตของ
เซลล์มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก 
ลำไส้ใหญ่ และมะเร็งเยื่อบุมดลูก 
นอกจากนั้นสารไลโคพีนยังช่วยให้หลายภาวะผิดปกติของร่างกายดีขึ้น 
เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน กระดูกพรุน และภาวะมีบุตรยากในชายได้อีกด้วย

แต่ผักผลไม้สีแดงที่เรียกได้ว่า "ตัวแม่" ก็คือมะเขือเทศค่ะ 
จาการวิจัยพบว่ามะเขือเทศลดโอกาส
ในการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากได้มาก และยังพบว่ามะเขือเทศที่แปรรูปแล้ว ไ
ม่ว่าจะเป็น 
ซอสมะเขือเทศ หรือ น้ำมะเขือเทศ มีปริมาณสารไลโคพีนมากกว่ามะเขือเทศสด 
เนื่องจากสารไลโคพีนที่เกาะติดแน่นกับเนื้อมะเขือเทศจะละลายออก
มามากขึ้นหลังผ่านกรรมวิธีทำให้สุก เรียกว่ายิ่งดีนักเลยนะคะ

รู้อย่างนี้แล้ว เราควรจะมารับประทานผักและผลไม้กันให้มากๆ 
นอกจากจะเพื่อสุขภาพที่ดีของเราแล้ว
 การรับประทานผักผลไม้มากๆ มีผลช่วยในการควบคุมน้ำหนักอีกด้วย และที่สำคัญ 
อย่าลืมว่าพยายามรับประทานให้ครบทุกสี อย่าเลือกที่รักมักที่ชังนะคะ

วันพุธที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2557

เอ๊ะ! รู้หรือไม่ว่าแอปเปิ้ลแต่ละสีมีประโยชน์ต่างกัน

แอปเปิ้ล ผลไม้ยอดนิยม นอกจากรูปร่างจะน่ารับประทานแล้ว ยังมีประโยชน์มากมายอีกด้วย 
แอปเปิ้ลในท้องตลาดมีอยู่หลายสี แต่ละสีก็มีประโยชน์แตกต่างกัน
หลายคนไม่ชอบทานเปลือกแอปเปิ้ล ซึ่งนั่นผิดมหันต์ เพราะจะทำให้คุณค่าจากสารอาหารที่จะได้รับ
จากผลไม้ชนิดนี้ ลดลงไปอย่างมาก ประโยชน์ของแอปเปิ้ลที่คุณควรรู้มีดังต่อไปนี้

แอปเปิ้ลที่เห็นตามท้องตลาด มีทั้งเปลือกสีแดง สีชมพู สีเขียว และสีเหลือง แตกต่างกันไปตาม
แต่ละสายพันธุ์ แต่เนื้อข้างในก็เหมือนกันคือ เป็นเนื้อทรายละเอียดสีขาวนวล ทราบไหมว่า 
เมื่อรับประทานแอปเปิ้ลโดยไม่ปอกเปลือก 1 ผล จะได้รับพลังงานประมาณ 80 กิโลแคลอรี่ 
มีวิตามินบี 6 เท่ากับ 0.1 มิลลิกรัม และวิตามินซีมากถึง 7.9 มิลลิกรัม




นอกจากนั้นยังมีสารเบต้าแคโรทีน และเส้นใยไฟเบอร์ ช่วยในเรื่องของการบำรุงหัวใจ 
ลดคอเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด กระตุ้นการทำงานของ
สารต้านอนุมูลอิสระ และฆ่าเชื้อไวรัส
แต่ถ้าปอกเปลือกปริมาณสารอาหารดังกล่าวก็จะลดลงไปด้วย มีความเชื่อของฝรั่งกล่าวไว้ว่า 
การรับประทานแอปเปิ้ลวันละผล ช่วยให้ห่างไกลหมอได้ โดยแอปเปิ้ลแต่ละสีก็มีประโยชน์ต่างกันดังนี้

แอปเปิ้ลสีแดง



ประโยชน์ที่โดดเด่น คือ มีสารแอนตี้ออกซิแดนต์มากที่สุด และยังมีอิลาสตินและ
คอลลาเจนที่ดีต่อสุขภาพผิวอีกด้วย



แอปเปิ้ลสีชมพู


คุณค่าทางสารอาหารที่สำคัญคือ มีสารฟิโนลิกมากที่สุด ซึ่งสารตัวนี้ช่วยยับยั้
งการเกิดฝ้าและชะลอความแก่ นอกจากนั้นยังมีฟลาโวนอยด์ที่ช่วย
เพิ่มการดูดซึมวิตามินซี ทำให้ผนังหลอดเลือดฝอยแข็งแรง ลดการอักเสบ 
ไข้ รวมทั้งช่วยป้องกันเลือดออก
ามไรฟันได้อีกด้วย


แอปเปิ้ลสีเขียว





มีรสเปรี้ยวอมหวาน ช่วยในเรื่องการควบคุมน้ำหนักได้ดี 
เพราะมีน้ำตาลน้อย และมีสารอิลาสตินและคอลลาเจนเช่นเดียวกัน ช่
วยให้ผิวแข็งแรงและยืดหยุ่นได้ดี


แอปเปิ้ลสีเหลือง




มีสารเควอร์ซิติน ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ 
และต้อกระจก

ต่อจากนี้ไปก่อนซื้อแอปเปิ้ลคงต้องพิจารณาก่อนว่าช่วงนั้นร่างกายต้องการอะไร อยากผิวสวย
ต้องแอปเปิ้ลแดงกับเขียว อยากฟันแข็งแรงต้องแอปเปิ้ลชมพู แต่ถ้าอยากลดหุ่นสีไหนก็ไม่เกี่ยง
ทั้งนั้นแหละค่ะ มากินแอปเปิ้ลกันดีกว่า









วันอังคารที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2557

มะเขือเทศเพื่อสุขภาพผิว

ไลโคปีน ( Lycopene ) ความลับผิวสวยจาก
มะเขือเทศ
เคยสงสัยหรือไม่? ทำไมตอนเด็กๆ ผู้ใหญ่จึงมักชอบให้เรารับประทานมะเขือเทศและบอกกับเราเสมอๆว่ามันช่วยให้ผิวสวย สดใส ทั้งๆที่รสชาติของมันไม่น่าอภิรมย์เหมือนคุณประโยชน์ ที่กล่าวมาเลยสักกะนิดเดียว วันนี้เรามาค้นหาความลับที่ซ่อนอยู่ในมะเขือเทศลูกน้อยกันเถอะ




อะไรอยู่ในมะเขือเทศ ?

มะเขือเทศ ( Tomato ) ถือเป็นเป็นพืชผักคู่ครัวไทยอีกชนิดหนึ่งที่เรารู้จักกันมานาน ภายในผลสีแดงสดประกอบไปด้วยสารอาหารที่สำคัญหลายชนิดเช่น สารจำพวกแคโรทีนอยด์ ชื่อ ไลโคปีน ( Lycopene )ซึ่งเป็นสารสีแดง และมีประโยชน์มหาศาลในเชิงผิวพรรณ นอกจากนี้มะเขือเทศยังมี วิตามินหลายชนิด เช่น วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินเค โดยเฉพาะวิตามินเอ และวิตามินซี มีในปริมาณสูง
 
ไลโคปีน ( Lycopene ) คืออะไร?

ลโคปีนจัดอยู่ในสารจำพวก แคโรทีนอยด์ ( Carotenoid ) ชนิดหนึ่ง ละลายได้ดีในไขมัน ไลโคปีนมีโครงสร้างทางเคมี 2 แบบ คือ 

1.) All-trans–isomer และ
2.) Cis-isomer  ซึ่งในธรรมชาติจะพบในรูปแบบที่ 1.) มากกว่า แต่สุดท้ายแล้ว ไลโคปีนนรูปแบบที่ 1.) เมื่อถูกความร้อนจะกลายเป็นรูปแบบที่ 2.) แต่ดูดซึมเข้าร่างกายได้ในที่สุด อีกทั้งไลโคปีน ยังเป็นสารที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ได้เองดังนั้นเราจึงตัองรับประทานเข้าไปเท่านั้นประโยชน์แท้ๆที่แม่แนะนำ ถือเป็นเรื่องจริงที่มะเขือเทศช่วยให้เรามีสุขภาพกายและสุขภาพผิวดีขึ้น ตามที่ผู้ใหญ่แนะนำมาตั้งแต่เรายังเป็นเด็ก เหตุเพราะเจ้าสาร ไลโคปีน ในมะเขือเทศนี้เองที่เป็นกุญแจสำคัญของทุกคำถาม  นอกจากเรื่องของสีแดงที่เป็นรงควัตถุที่ให้สีแดงจำเพาะในมะเขือเทศแล้ว ไลโคปีนยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ที่มีมีฤทธิ์แรงมากในด้านการต่อต้านอนุมูลอิสระสาเหตุสำคัญของโรคเสื่อมมีส่วนช่วยลดเลือนริ้วรอยก่อนวัย ปรับระบบฮอร์โมนและภูมิคุ้มกัน ยับยั้งเอนไซม์สำคัญที่ใช้ สังเคราะห์โคเลสเตอรอลและเร่งสลายโคเลสเตอรอลชนิดไม่ดี  ตลอดจนช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตในร่างกายช่วยให้ผิวแลดูขาวอมชมพูดูมีเลือดฝาดตามที่คนโบราณเขาพูดไปไม่มีผิดเลยเชียว!
Tips!


รับประทานมะเขือเทศแบบไหนดีที่สุด?
การรับประทานมะเขือเทศที่ผ่านการแปรรูปด้วยความร้อนมาแล้ว จะทำให้ร่างกายดูดซึมไลโคปีนในระบบย่อยอาหาร
ได้ดีกว่ารับประทานแบบสดๆถึง 2.5 เท่า ดังนั้นจึงควรนำมะเขือเทศไปปรุงให้สุกก่อน หรือแค่รับประทานผลิตภัณฑ์
เสริมอาหารที่มีส่วนผสมของไลโคปีนแท้ๆ ก็ง่ายและสะดวกไม่แพ้กัน

 มีวิธีการดูแลผิวด้วยมะเขือเทศมาฝากดังนี้!!

กระชับรูขุมขนด้วยมะเขือเทศและมะนาว


          ผสมน้ำมะเขือเทศ 1 ช้อนโต๊ะกับน้ำมะนาวสด 2-4 หยด แล้วใช้สำลีชุบน้ำมะเขือเทศกับมะนาวที่ผสมไว้บนผิวบริเวณที่ต้องการ ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วใช้น้ำอุ่นเกือบเย็นล้างออกเพื่อทำให้รูขุมขนหดตัวลง และบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น

รักษาสิวด้วยเนื้อมะเขือเทศ

          ลองใช้วิธีนี้ในการรักษาสิวที่เรื้อรังไม่หายขาด บดมะเขือเทศสด แล้วทาให้ทั่วใบหน้า แล้วหลับตาพักผ่อนโดยทิ้งให้มะเขือเทศอยู่บนใบหน้าประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่นเกือบเย็น ใช้วิธีนี้ทุกวันเป็นเวลาอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ก็จะเห็นผล

ล้างหน้าด้วยมะเขือเทศ

          หั่นมะเขือเทศออกเป็นครึ่งลูกแล้วนำมาถูให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 2-3 นาที พยายามถูในบริเวณที่เป็นสิวหัวดำมากกว่าที่อื่น แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น เกือบเย็น ใช้วิธีนี้เมื่อต้องการล้างหน้าพร้อมกระชับรูขุมขน และยังช่วยลดความมันส่วนเกินได้ด้วย

กระชับรูขุมขนด้วยมะเขือเทศ

          เป็นสูตรกระชับรูขุมขนแบบเย็นและอ่อนโยน โดยคั้นให้ได้น้ำมะเขือเทศสดพร้อม ดื่ม หั่นแตงกวาบางๆ แล้วบีบให้ได้น้ำแตงกวาลงไปในน้ำมะเขือเทศ คนให้เข้ากัน แล้วใช้สำลีทาให้ทั่วใบหน้า จากนั้นล้างออกด้วยน้ำอุ่นพอสมควร ควรใช้วันละหนึ่งครั้งเพื่อให้ได้ผลดี

พอกหน้าด้วยมะเขือเทศ
     
          โดยนำมะเขือเทศสดไร้สารตกค้าง มาปั่นให้ละเอียด (หรือคั้นสดๆ ก็ได้ หากไม่มีเครื่องปั่นผลไม้)  นำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาทีล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำสัปดาห์ละ 2-3  ครั้ง ทำให้ใบหน้าแลดูสดใสเปล่งปลั่งขึ้นทันตา แต่สำหรับบางคนที่ไม่มีเวลาหรือขี้เกียจทำเองละก็ ลองเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของมะเขือเทศมาใช้แทนก็ได้

          นอกจากนี้ มะเขือเทศยังมีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา ช่วยเป็นยารักษาโรคผิวหนัง โดยใช้ใบตำให้ละเอียดทาบริเวณที่เป็นผลมีรสเปรี้ยว เสริมวิตามินซี เป็นยาระบายอ่อน ๆ ช่วยดับกระหาย ช่วยให้กระเพาะอาหาร ลำไส้ ไต ให้ทำงานได้ดีขึ้น และยังสามารถต้านอนุมูลอิสระ ขับสารพิษจากร่างกาย และเหมาะที่จะเป็นอาหารสำหรับคนเป็นโรคนิ่ว วัณโรค ไทฟอยด์ หูอักเสบ และเหยื่อตาอักเสบ โดยรับประทานผลสด ผู้ที่รับประทานมะเขือเทศเป็นประจำ จะช่วยลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งในลำไส้ และมะเร็งต่อมลูกหมากได้ ช่วยแก้อาการปวดฟัน โดยนำราก ลำต้น และใบแก่ต้มกับน้ำรับประทาน